หน่วยการเรียนรู้ที่
3
การสื่อสารเพื่อการสอน
แนวคิดเรื่องการการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร
การสอนภาษาต่างประเทศในระยะเวลาที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่ามีวิธีการสอนที่แตกต่างหลากหลายตามหลักแนวคิดพื้นฐาน และวิธีการสอนภาษาที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ที่นักภาษาศาสตร์ประยุกต์คิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในการสอน หรือเพื่อปรับปรุงการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การสอนภาษาอังกฤษตามแนวทางการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1970 และได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศอังกฤษ เนื่องจากเป็นแนวทางการสอนที่เน้นในเรื่องการสื่อสารตามสถานการณ์ในการใช้ภาษาจริงๆมากกว่าการเน้นสอนเรื่องรูปแบบหรือโครงสร้างของภาษาเพียงอย่างเดียว
Widdowson (1978) อ้างใน Larsen-Freeman (2000:121) ได้กล่าวไว้ว่าในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงโดยการนำแนวทางการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารมาใช้นั้นมีเหตุผลมาจากการที่ผู้เรียนสามารถผลิตประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดีแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะนำความรู้ทางตัวภาษาที่ได้เรียนนั้นไปใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างเหมาะสมถูกต้องตามปริบท ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมากจากการรู้ถึงกฎในตัวภาษาของผู้เรียนนั้นยังไม่เพียงพอแต่การใช้ภาษาในสถานการณ์จริงๆนั่นเอง
การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารจึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ทางภาษาที่มีไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งนอกจากที่ผู้เรียนต้องมีความรู้ในเรื่องไวยากรณ์ภาษาแล้ว ผู้เรียนยังต้องมีความรู้ในสิ่งที่อยู่นอกเหนือตัวภาษา เช่น สถานภาพหรือความสัมพันธ์ของคู่สนทนาในสังคม อายุ เพศ การศึกษา ความสุภาพ ตลอดจนเจตนาทั้งทางตรงและทางอ้อมในการสื่อสาร เป็นต้น
Larsen-Freeman (2000:128-132) ได้กล่าวไว้ว่าเป้าหมายของการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนั้นคือการทำให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารในภาษาที่เรียนได้ โดยการจะทำเช่นนี้ได้จะต้องมีความรู้ในเรื่องของโครงสร้างทางภาษา ความรู้ในเรื่องความหมาย และความเข้าใจในเรื่องของหน้าที่ของภาษาที่ใช้ ซึ่งผู้เรียนจะต้องเลือกรูปแบบของภาษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ใช้ในการสื่อสาร ปริบททางสังคม ตลอดจนบทบาททางสังคมของผู้ร่วมสนทนาด้วย นอกจากการสอนที่เน้นในเรื่องหน้าที่ของภาษามากกว่ารูปแบบทางภาษาแล้ว ผู้เรียนยังต้องเรียนทักษะทั้งสี่ คือพูด ฟัง อ่าน เขียน ไปพร้อมๆกันตั้งแต่เริ่มต้นอีกด้วย โดยสิ่งที่มีความโดดเด่นในการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร คือเนื้อหาของการเรียนการสอนจะอยู่ภายใต้กระบวนการทางการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทั้งสิ้น โดยการที่ผู้เรียนจะสามารถสื่อสารได้นั้นต้องมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 3 ประการด้วยกันคือ 1) ช่วงว่างระหว่างข้อมูล (Information gap) คือความต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันโดยเมื่อคู่สนทนาไม่มีข้อมูลหรือมีข้อมูลไม่พอเพียง ทำให้ต่างฝ่ายต้องการที่จะทราบหรือให้ข้อมูลซึ่งกันและกัน 2) การเลือก (Choice) คือผู้เรียนมีโอกาสในการเลือกที่จะพูดหรือเขียน ตลอดจนรูปแบบในการสื่อสารความหมาย 3) ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) คือ ผู้เรียนมีโอกาสที่จะได้ทราบถึงผลของการสื่อสารที่ว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวจากปฎิกริยาของผู้ร่วมสนทนา นอกจากนี้แล้วการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารยังเน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากการปฎิบัติกล่าวคือ ผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาให้มากที่สุด การให้ผู้เรียนสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดยให้เลือกใช้ภาษาตามต้องการและให้ประเมินการสื่อสารด้วยตนเองเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในการสื่อสารจริงๆ ส่วนเรื่องข้อผิดพลาดที่ผู้เรียนมีขณะที่มีการเรียนการสอนนั้นไม่ใช้สิ่งที่ต้องการการแก้ไขเสมอ ทั้งนี้ข้อผิดพลาดจะถูกแก้ไขเฉพาะในส่วนที่สำคัญๆที่จะไปขัดขวางหรือสร้างความสับสนของความเข้าใจในการสื่อสารเท่านั้น มิฉะนั้นผู้เรียนอาจเกิดความไม่มั่นใจไม่กล้าที่จะใช้ภาษาในการทำกิจกรรมต่างๆได้
Wilkins (1976) ได้เสนอแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารไว้ว่าเป็นการให้ความสำคัญกับการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารตั้งแต่เริ่มต้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ละเลยในเรื่องความสำคัญทางไวยากรณ์และสถานการณ์ในการใช้ภาษา การสอนภาษาตามแนวทางการสอนเพื่อการสื่อสารจะมีข้อดีกว่าแนวคิดการสอนที่เน้นไวยากรณ์คือ มีการฝึกฝนภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสาร และเมื่อผู้เรียนได้มีการฝึกฝนการใช้ภาษาได้ในสถานการณ์จริงแล้ว ยังช่วยให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้เรียนอีกด้วย
การสร้างความสามารถในการสื่อสาร (Communicative competence) ซึ่งเป็นเป้าหมายของการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนี้ แบ่งได้เป็น 4 ประเภทตามแนวคิดของ Savignon (1983: 36-38) ดังต่อไปนี้
1) ความสามารถด้านกฎเกณฑ์และโครงสร้างของภาษา (Linguistic or Grammatical competence) คือ ความสามารถที่ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับเรื่องการออกเสียง ศัพท์ โครงสร้างหรือรูปแบบของประโยคเพื่อนำไปใช้ในการสื่อสาร
2) ความสามารถด้านภาษาศาสตร์เชิงสังคม (Sociolinguistic competence) คือ ความสามารถที่ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับการใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมตามกฎเกณฑ์ทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น คนรู้ว่าควรพูดอย่างไรในสถานการณ์ใด จุดประสงค์ของการสนทนา ตลอดจนคำนึงถึงบทบาททางสังคมของตนเองและผู้ร่วมสนทนา เป็นต้น
3) ความสามารถด้านความเข้าใจในระดับข้อความ (Discouse competence) คือ ความสามารถที่ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับการตีความวิเคราะห์ความสัมพันธ์กันของประโยคต่างๆ โดยสามารถเชื่อมโยงความหมายและโครงสร้างทางไวยากรณ์เพื่อพูดหรือเขียนสิ่งต่างๆได้ต่อเนื่องมีความหมายสัมพันธ์กัน เช่น การมีลำดับของการเล่าเรื่อง การเขียนจดหมายที่มีข้อความเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกัน
4) ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (Pragmatic or Strategic competence) คือ ความสามารถที่ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับ การถอดความ การพูดซ้ำ การพูดอ้อม การใช้ภาษาสุภาพ ตลอดจนการใช้น้ำเสียงแบบต่างๆเพื่อให้การสื่อสารมีความราบรื่นขึ้นหากเมื่อเกิดความเข้าใจผิด หรือการไม่เข้าใจในการสื่อสาร
ทฤษฎีการสื่อสาร
การสอนภาษาต่างประเทศในระยะเวลาที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่ามีวิธีการสอนที่แตกต่างหลากหลายตามหลักแนวคิดพื้นฐาน และวิธีการสอนภาษาที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ที่นักภาษาศาสตร์ประยุกต์คิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในการสอน หรือเพื่อปรับปรุงการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การสอนภาษาอังกฤษตามแนวทางการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1970 และได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศอังกฤษ เนื่องจากเป็นแนวทางการสอนที่เน้นในเรื่องการสื่อสารตามสถานการณ์ในการใช้ภาษาจริงๆมากกว่าการเน้นสอนเรื่องรูปแบบหรือโครงสร้างของภาษาเพียงอย่างเดียว
Widdowson (1978) อ้างใน Larsen-Freeman (2000:121) ได้กล่าวไว้ว่าในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงโดยการนำแนวทางการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารมาใช้นั้นมีเหตุผลมาจากการที่ผู้เรียนสามารถผลิตประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดีแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะนำความรู้ทางตัวภาษาที่ได้เรียนนั้นไปใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างเหมาะสมถูกต้องตามปริบท ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมากจากการรู้ถึงกฎในตัวภาษาของผู้เรียนนั้นยังไม่เพียงพอแต่การใช้ภาษาในสถานการณ์จริงๆนั่นเอง
การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารจึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ทางภาษาที่มีไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งนอกจากที่ผู้เรียนต้องมีความรู้ในเรื่องไวยากรณ์ภาษาแล้ว ผู้เรียนยังต้องมีความรู้ในสิ่งที่อยู่นอกเหนือตัวภาษา เช่น สถานภาพหรือความสัมพันธ์ของคู่สนทนาในสังคม อายุ เพศ การศึกษา ความสุภาพ ตลอดจนเจตนาทั้งทางตรงและทางอ้อมในการสื่อสาร เป็นต้น
Larsen-Freeman (2000:128-132) ได้กล่าวไว้ว่าเป้าหมายของการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนั้นคือการทำให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารในภาษาที่เรียนได้ โดยการจะทำเช่นนี้ได้จะต้องมีความรู้ในเรื่องของโครงสร้างทางภาษา ความรู้ในเรื่องความหมาย และความเข้าใจในเรื่องของหน้าที่ของภาษาที่ใช้ ซึ่งผู้เรียนจะต้องเลือกรูปแบบของภาษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่ใช้ในการสื่อสาร ปริบททางสังคม ตลอดจนบทบาททางสังคมของผู้ร่วมสนทนาด้วย นอกจากการสอนที่เน้นในเรื่องหน้าที่ของภาษามากกว่ารูปแบบทางภาษาแล้ว ผู้เรียนยังต้องเรียนทักษะทั้งสี่ คือพูด ฟัง อ่าน เขียน ไปพร้อมๆกันตั้งแต่เริ่มต้นอีกด้วย โดยสิ่งที่มีความโดดเด่นในการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร คือเนื้อหาของการเรียนการสอนจะอยู่ภายใต้กระบวนการทางการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทั้งสิ้น โดยการที่ผู้เรียนจะสามารถสื่อสารได้นั้นต้องมีองค์ประกอบหลักๆอยู่ 3 ประการด้วยกันคือ 1) ช่วงว่างระหว่างข้อมูล (Information gap) คือความต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันโดยเมื่อคู่สนทนาไม่มีข้อมูลหรือมีข้อมูลไม่พอเพียง ทำให้ต่างฝ่ายต้องการที่จะทราบหรือให้ข้อมูลซึ่งกันและกัน 2) การเลือก (Choice) คือผู้เรียนมีโอกาสในการเลือกที่จะพูดหรือเขียน ตลอดจนรูปแบบในการสื่อสารความหมาย 3) ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) คือ ผู้เรียนมีโอกาสที่จะได้ทราบถึงผลของการสื่อสารที่ว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวจากปฎิกริยาของผู้ร่วมสนทนา นอกจากนี้แล้วการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารยังเน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากการปฎิบัติกล่าวคือ ผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาให้มากที่สุด การให้ผู้เรียนสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดยให้เลือกใช้ภาษาตามต้องการและให้ประเมินการสื่อสารด้วยตนเองเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในการสื่อสารจริงๆ ส่วนเรื่องข้อผิดพลาดที่ผู้เรียนมีขณะที่มีการเรียนการสอนนั้นไม่ใช้สิ่งที่ต้องการการแก้ไขเสมอ ทั้งนี้ข้อผิดพลาดจะถูกแก้ไขเฉพาะในส่วนที่สำคัญๆที่จะไปขัดขวางหรือสร้างความสับสนของความเข้าใจในการสื่อสารเท่านั้น มิฉะนั้นผู้เรียนอาจเกิดความไม่มั่นใจไม่กล้าที่จะใช้ภาษาในการทำกิจกรรมต่างๆได้
Wilkins (1976) ได้เสนอแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารไว้ว่าเป็นการให้ความสำคัญกับการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารตั้งแต่เริ่มต้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ละเลยในเรื่องความสำคัญทางไวยากรณ์และสถานการณ์ในการใช้ภาษา การสอนภาษาตามแนวทางการสอนเพื่อการสื่อสารจะมีข้อดีกว่าแนวคิดการสอนที่เน้นไวยากรณ์คือ มีการฝึกฝนภาษาเพื่อใช้ในการสื่อสาร และเมื่อผู้เรียนได้มีการฝึกฝนการใช้ภาษาได้ในสถานการณ์จริงแล้ว ยังช่วยให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้เรียนอีกด้วย
การสร้างความสามารถในการสื่อสาร (Communicative competence) ซึ่งเป็นเป้าหมายของการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารนี้ แบ่งได้เป็น 4 ประเภทตามแนวคิดของ Savignon (1983: 36-38) ดังต่อไปนี้
1) ความสามารถด้านกฎเกณฑ์และโครงสร้างของภาษา (Linguistic or Grammatical competence) คือ ความสามารถที่ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับเรื่องการออกเสียง ศัพท์ โครงสร้างหรือรูปแบบของประโยคเพื่อนำไปใช้ในการสื่อสาร
2) ความสามารถด้านภาษาศาสตร์เชิงสังคม (Sociolinguistic competence) คือ ความสามารถที่ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับการใช้ภาษาได้ถูกต้องเหมาะสมตามกฎเกณฑ์ทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น คนรู้ว่าควรพูดอย่างไรในสถานการณ์ใด จุดประสงค์ของการสนทนา ตลอดจนคำนึงถึงบทบาททางสังคมของตนเองและผู้ร่วมสนทนา เป็นต้น
3) ความสามารถด้านความเข้าใจในระดับข้อความ (Discouse competence) คือ ความสามารถที่ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับการตีความวิเคราะห์ความสัมพันธ์กันของประโยคต่างๆ โดยสามารถเชื่อมโยงความหมายและโครงสร้างทางไวยากรณ์เพื่อพูดหรือเขียนสิ่งต่างๆได้ต่อเนื่องมีความหมายสัมพันธ์กัน เช่น การมีลำดับของการเล่าเรื่อง การเขียนจดหมายที่มีข้อความเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกัน
4) ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (Pragmatic or Strategic competence) คือ ความสามารถที่ผู้เรียนต้องมีเกี่ยวกับ การถอดความ การพูดซ้ำ การพูดอ้อม การใช้ภาษาสุภาพ ตลอดจนการใช้น้ำเสียงแบบต่างๆเพื่อให้การสื่อสารมีความราบรื่นขึ้นหากเมื่อเกิดความเข้าใจผิด หรือการไม่เข้าใจในการสื่อสาร
ทฤษฎีการสื่อสาร
ทฤษฎีการสื่อสารและการเรียนการสอน
เพื่อให้การเรียนการสอนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้และผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด
นอกจากจะใช้เทคโนโลยีการศึกษาทั้งในเรื่องของกระบวนการและทรัพยากรต่าง ๆ
แล้วจำเป็นต้องอาศัยทฤษฏีการสื่อสารในการนำเสนอเนื้อหาจากผู้ส่งไปยังผู้รับ
สื่อหรือช่องทางในการถ่ายทอด
และวิธีการในการติดต่อเพื่อเป็นแนวทางสำหรับการจัดการเรียนการสอนอย่างได้ผลดีที่สุดด้วย
ทั้งนี้เพราะสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในกระบวนการสื่อสาร คือ
การที่จะสื่อความหมายอย่างไรเพื่อให้ผู้รับสารนั้นเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่าผู้ส่งหมายความว่าอะไรในข่าวสารนั้นมีนักวิชาการหลายท่านได้นำเสนอทฤษฏีการสื่อสารที่นำมาใช้เป็นหลักในการศึกษาถึงวิธีการส่งผ่านข้อมูลสารสนเทศการใช้สื่อและช่องทางการสื่อสาร
ทฤษฏีการสื่อสารเหล่านี้ได้นำมาใช้ในขอบข่ายของเทคโนโลยีการศึกษาตั้งแต่ทศวรรษ 1980s เป็นต้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์สำหรับใช้เป็นแนวทางในสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
รวมถึงการเลือกใช้สื่อเพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการเรียนรู้ได้อย่างดี
สูตรการสื่อสารของลาสแวลล์ (Lesswell)
ฮาโรลด์ ลาสแวลล์ (Harold Lasswell) ได้ทำการวิจัยในเรื่องการสื่อสารมวลชนไว้ในปี
พ.ศ. 2491 และได้คิดสูตรการสื่อสารที่ถึงพร้อมด้วยกระบวนการสื่อสารที่สอดคล้องกัน
โดยในการสื่อสารนั้นจะต้องตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้คือ
ใคร พูดอะไร โดยวิธีการและช่องทางใด ไปยังใคร ด้วยผลอะไร
สูตรการสื่อสารของลาสแวลล์เป็นที่รู้จักกันอย่างแร่หลายและเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปโดยสามารถนำมาเขียนเป็นรูปแบบจำลองและเปรียบเทียบกับองค์ประกอบของการสื่อสารได้ดังนี้
ในการที่จะจัดให้การเรียนการสอนเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพดีนั้น
เราสามารถนำสูตรของลาสแวลล์มาใช้ได้เช่นเดียวกับการสื่อสารธรรมดา คือ
- ใคร (Who) เป็นผู้ส่งหรือทำการสื่อสาร เช่น ในการอ่านข่าว
ผู้อ่านข่าวเป็นผู้ส่งข่าวารไปยังผู้ฟังทางบ้าน
ในสถานการณ์ในห้องเรียนธรรมดาก็เช่นเดียวกันย่อมเป็นการพูดระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
หรือการที่ผู้เรียนกลายเป็นผู้ส่งโดยการตอบสนองกลับไปยังผู้สอน
แต่ถ้าเป็นการสอนโดยใช้ภาพยนตร์หรือโทรทัศน์
ตัวผู้ส่งก็คือภาพยนตร์หรือโทรทัศน์นั้น
- พูดอะไร ด้วยวัตถุประสงค์อะไร (Says what, with what purpose) เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับ เนื้อหาข่าวสารที่ส่งไป
ผู้ส่งจะส่งเนื้อหาอะไรโดยจะเป็นข่าวสารธรรมดาเพื่อให้ผู้รับทราบความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ต่าง
ๆ ในแต่ละวัน หรือเป็นการให้ความรู้โดยที่ผู้สอนจะต้องทราบว่าจะสอนเรื่องอะไร
ทำไมจึงจะสอนเรื่องนั้น สอนเพื่อวัตถุประสงค์อะไร
และคาดว่าจะได้รับการตอบสนองจากผู้เรียนอย่างไรบ้าง
- โดยใช้วิธีการและช่องทางใด (By what means, in what channel) ผู้ส่งทำการส่งข่าวสารโดยการพูด การแสดงกริยาท่าทาง ใช้ภาพ ฯลฯ
หรืออาจจะใช้อุปกรณ์ระบบไฟฟ้า เช่น ไมโครโฟน
หรือเครื่องเล่นวีซีดีเพื่อถ่ายทอดเนื้อหาข่าวสารให้ผู้รับรับได้โดยสะดวก
ถ้าเป็นในการเรียนการสอน ผู้สอนอาจจะสอนโดยการบรรยายหรือใช้สื่อสารสอนต่าง ๆ
เพื่อช่วยในการส่งเนื้อหาบทเรียนไปให้
ผู้เรียนรับและเข้าใจได้อย่างถูกต้องทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น
- ส่งไปยังใคร ในสถานการณ์อะไร (To whom, in what situation) ผู้ส่งจะส่งข่าวสารไปยัง
ผู้รับเป็นใครบ้าง เนื่องในโอกาสอะไร เช่น
การอ่านข่าวเพื่อให้ผู้ฟังทางบ้านทราบถึงเหตุการณ์ ประจำวัน
หรือแสดงการทำกับข้าวให้กลุ่มแม่บ้านชม
ผู้ส่งย่อมต้องทราบว่าผู้รับเป็นกลุ่มใดบ้างเพื่อสามารถเลือกสรรเนื้อหาและวิธีการส่งให้เหมาะสมกับผู้รับ
การเรียนการสอนก็เช่นเดียวกัน การสอน ผู้เรียนอายุ 8 ปีกับอายุ
15 ปีต้องมีวิธีการสอนและการใช้สื่อการสอนต่างกัน
ผู้สอนต้องทราบถึงระดับสติปัญญาความสามารถและภูมิหลังของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างตลอดจน
สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพของการเรียน เช่น มีสื่อการสอนอะไร
ที่จะนำมาใช้สอนได้บ้าง สภาพแวดล้อมห้องเรียนที่จะสอนเป็นอย่างไร ฯลฯ
- ได้ผลอย่างไรในปัจจุบัน และอนาคต (With what effect, immediate and
long term ?) การส่งข่าวสารนั้นเพื่อให้ผู้รับฟังผ่านไปเฉย ๆ
หรือจดจำด้วยซึ่งต้องอาศัยเทคนิควิธีการที่แตกต่างกัน และเช่นเดียวกันกับในการเรียนการสอนที่จะได้ผลนั้น
ผู้สอนจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเมื่อสอนแล้ว
ผู้เรียนจะได้รับความรู้เกิดการเรียนรู้มากน้อยเท่าใด
และสามารถจดจำความรู้ที่ได้รับนั้นได้นานเพียงใด
โดยที่ผู้เรียนอาจได้รับความรู้เพียงบางส่วนหรือไม่เข้าใจเลยก็ได้ การวัดผลของการถ่ายทอดความรู้นั้นอาจทำได้ยากเพราะบางครั้งผู้เรียนอาจจะไม่แสดงการตอบสนองออกมา
และบางครั้งการตอบสนองนั้นก็อาจจะวัดผลไม่ได้เช่นกัน
กระบวนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร
1. ขั้นนำ/ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
(Warm up/Lead in) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนเกิดความพร้อมและอยากรู้อยากเรียนในบทใหม่ เนื้อหาจะเชื่อมโยงไปสู่สาระสำคัญของบทนั้นๆ
เมื่อครูผู้สอนเห็นว่านักเรียนมีความพร้อม เกิดความสนุก และสนใจอยากเรียนแล้ว
ก็เริ่มเรียนเนื้อหาต่อไป กิจกรรมที่กำหนดไว้ในขั้นนี้มีหลากหลาย เช่น เล่นเกม
ปริศนาคำทาย เพื่อทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้ว
2. ขั้นนำเสนอ (Presentation) ในขั้นนี้ครูจะให้ข้อมูลทางภาษาแก่นักเรียน มีการนำเสนอศัพท์ใหม่
เนื้อหาใหม่ให้เข้าใจทั้งรูปแบบและความหมาย
กิจกรรมที่กำหนดไว้ประกอบด้วยการให้ฟังเนื้อหาใหม่ ให้นักเรียนฝึกพูดตาม
ในขั้นนี้ครูเป็นผู้ให้ความรู้ทางภาษาที่ถูกต้อง
และเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องในการออกเสียง คือ Informant (ผู้ให้ความรู้)
รูปแบบของภาษาจึงเน้นที่ความถูกต้อง (Accuracy) เป็นหลัก3.
ขั้นฝึก (Practice) ในขั้นนี้นักเรียนจะได้ฝึกใช้ภาษาที่เรียนมาแล้วในขั้นนำเสนอ
โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนใช้ภาษาได้ถูกต้อง
ขณะเดียวกันก็เน้นเรื่องการใช้ภาษาให้คล่องแคล่ว (fluency) การฝึกอาจจะฝึกทั้งชั้น
เป็นกลุ่ม เป็นคู่ หรือรายบุคคล
ขั้นนี้เป็นโอกาสที่ครูจะแก้ไขข้อผิดพลาดของนักเรียนในการใช้ภาษา ซึ่งการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นควรทำหลังการฝึกหากทำระหว่างที่นักเรียนกำลังลองผิดลองถูกอยู่ความมั่นใจที่จะใช้ภาษาให้คล่องแคล่วอาจลดลงได้
กิจกรรมที่กำหนดไว้ในคู่มือครูและแผนการจัดการเรียนรู้
มีทั้งในลักษณะที่กล่าวมานี้ และในลักษณะที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกอย่างอิสระ
4. ขั้นการใช้ภาษา
(Production) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนนำคำหรือประโยคที่ฝึกมาแล้วมาใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
ในรูปแบบกิจกรรมหลากหลาย เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว (fluency) และเกิดความสนุกสนาน ในขั้นนี้เป็นขั้นที่เน้นนักเรียนเป็นผู้
ทำกิจกรรม ครูคอยให้ความช่วยเหลือ ถ้านักเรียนผิดพลาด อย่าขัดจังหวะ
ให้ปล่อยไปก่อน เพื่อให้นักเรียนรู้สึกสบายใจกิจกรรมที่กำหนดไว้มีหลากหลาย เช่น
การเล่นเกม การทำชิ้นงาน การทำแบบฝึก การนำเสนอผลงาน
5. ขั้นสรุป (Wrap
up) เป็นขั้นสุดท้ายของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละชั่วโมง
จุดประสงค์คือ เพื่อสรุปสิ่งที่ได้เรียนแล้ว
กิจกรรมที่เสนอแนะไว้อาจจะเป็นการนำเสนอรายงานของกลุ่ม ทำแบบฝึกหัดเพื่อสรุปความรู้ หรือเล่นเกมเพื่อทดสอบสิ่งที่เรียนมาแล้ว
ระบบการศึกษาเป็นระบบย่อยระบบหนึ่งของสังคม
ประกอบด้วยระบบต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย โรงเรียนมัธยม ประถมศึกษา ฯลฯ
ระบบเหล่านี้จะมีส่วนประกอบย่อยๆ ที่สัมพันธ์กัน เช่น ระบบหลักสูตร ระบบบริหาร
ระบบการเรียนการสอน ระบบการวัดและประเมินผล เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตาม
ผลลัพท์ของระบบจะต้องได้รับการตรวจสอบและปรับปรุงอยู่เสมอ
เพื่อให้สอดคล้องกับระบบใหญ่
องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้
จะต้องมีความสัมพันธ์กัน จึงจะทำให้ผลที่ได้รับมีประสิทธิภาพ
และการตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบ จะต้องอาศัยข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ที่ได้จากการประเมินผล
เพื่อหาแนวทางการปรับปรุงแก้ไขส่วนที่บกพร่องทั้งสามส่วน
ระบบการสื่อสาร (Communication System)
การติดต่อสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์
เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ หรือมนุษย์กับเครื่องจักร
มีการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนข้อมูลกันและกัน การสื่อสารเป็นขบวนการวัฏจักร
การสื่อสารกับการเรียนการสอน
พัฒนาการการเรียนการสอนในปัจจุบัน มุ่งยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child
Center) ตาม พ.ร.บ.การศึกษา 2540 ให้ความสำคัญกับผู้เรียนมากขึ้น
ผู้สอนจะต้องมีความรอบรู้มากกว่า เนื้อหาสาระของวิชาที่จะสอน
และต้องมีความสนใจเกี่ยวกับตัวผู้เรียนแต่ละคนมากขึ้น
ทั้งพฤติกรรมและความประพฤติของผู้เรียน ตลอดจนความสนใจ ความสามารถของแต่ละบุคคล
ผู้สอนจะต้องนำความรู้ความเข้าใจต่างๆเหล่านี้
มารวบรวมวิเคราะห์และประยุกต์เพื่อใช้ประกอบการสอน การสร้างหลักสูตร
การพัฒนาบทเรียน สื่อการสอน อุปกรณ์การศึกษา และการปรับปรุงการสอน
ขั้นตอนของการออกแบบระบบการเรียนการสอน
เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ขั้นตอนใหญ่ๆ
ดังนี้
1. กำหนดเนื้อหาและจุดมุ่งหมาย
(GOALS) การจัดการเรียนการสอนที่ดีจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายหรือเป้าหมาย
ของการเรียนที่ชัดเจน แล้วจึงนำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้เป็นเป้าหมายย่อย
หรือวัตถุประสงค์ย่อย
2. การทดสอบก่อนการเรียน (Pre Test) เพื่อให้ทราบถึงพื้นฐานความรู้หรือพฤติกรรมเดิมของผู้เรียน
ผู้สอนจะทราบว่าผู้เรียนมีความรู้ในระดับใด
ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงและวางแผนการสอนได้
3. ออกแบบกิจกรรมและวิธีการสอน (Activities) โดยคำนึงถึงผู้เรียนเป็นหลัก
เวลา สถานที่ สภาพแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับยุทธศาสตร์การสอน
มุ่งให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมให้ได้รับผลสำเร็จ
4. การทดสอบหลังการเรียน (Post Test) มุ่งหวังเพื่อวัดและประเมินผล
4.1 วัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเป็นรายบุคคล
4.2 วัดความสำเร็จของหลักสูตรหรือระบบการเรียนการสอน
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่
ทำให้สังคมโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนในภูมิภาคต่าง
ๆ ของโลกสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้อย่างรวดเร็ว
การสื่อสารและการสร้างความเข้าใจจึงมีความสำคัญ ภาษา คือ เครื่องมือในการสื่อสารของคนในสังคมเดียวกันหรือต่างสังคม
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษนับว่าเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก
การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะครูผู้สอนต้องพัฒนาการสอนภาษาให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการใช้ให้มากที่สุด
เพื่อให้สามารถใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ตามความต้องการในสถานการณ์ต่าง
ๆ ทั้งในชั้นเรียนและชีวิตประจำวัน
ความหมายของการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร
การสอนภาษาเพื่อการสื่อสารเป็นการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการเรียนรู้ซึ่งมุ่งเน้นความสำคัญของตัวผู้เรียน มีจัดลำดับการเรียนรู้เป็นขั้นตอนตามกระบวนการใช้ความคิดของผู้เรียน ซึ่งเชื่อมระหว่างความรู้ทางภาษา ทักษะทางภาษา และความสามารถในการสื่อสาร เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ด้านภาษาไปใช้ในการสื่อสาร
ความสามารถในการสื่อสาร ได้แก่
1. ความสามารถทางด้านภาษา
ได้แก่ ความสามารถในเนื้อหาภาษา เช่นเสียง คำศัพท์ ไวยากรณ์ โครงสร้างประโยค
2. ความสามารถในการใช้ภาษา
ได้แก่ ทักษะทั้ง 4 คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน
3. ความสามารถในการใช้ภาษาตามระเบียบของสังคม
โดยใช้ภาษาให้เหมาะสมกับระดับบุคคลและกฎเกณฑ์ทางสังคม
ตามบทบาทและสถานภาพในสถานการณ์สื่อสาร
4. ความสามารถในการเรียบเรียงถ้อยคำ
เรียบเรียงความคิด เชื่อมโยงประโยคเป็นข้อความหลัก ข้อความรอง
แนวการสอนภาษาเพื่อพัฒนาความสามารถในการสื่อสาร
1.แนวการสอนตามธรรมชาติ (Natural Approach) เป็นแนวการสอนที่เชื่อว่าการที่จะบรรลุ
จุดมุ่งหมายของการสอนภาษาที่สอง
ผู้สอนต้องจัดการเรียนการสอนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนให้ง่ายและเร็วขึ้น เน้นการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย (meaning) และเน้นหน้าที่
(function) ของภาษา ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ภาษาในสถานการณ์จริงนอกเหนือจากการจัดกิจกรรมในชั้นเรียน การสอนตามแนวธรรมชาตินี้ผู้สอนต้องใช้ภาษาของเจ้าของภาษาตลอดเวลา
ซึ่งเป็นปัญหากับผู้สอนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ในการแก้ปัญหาดังกล่าวผู้สอนอาจใช้เทคนิคต่างๆเพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจ การเลือกเนื้อหาและเรื่องที่สอนต้องสอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน
ทักษะฟังควรฝึกก่อนทักษะพูด
ก่อนที่ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะเขียนต้องคำนึงความพร้อมของผู้เรียนเพราะทักษะนี้ต้องใช้เวลานานในการสร้างความพร้อม
ผู้สอนไม่ควรเร่งเพราะจะทำให้ผู้เรียนวิตกกังวลซึ่งมีผลต่อทัศนคติและแรงจูงใจ
การช่วยลดความวิตกกังวล (low anxiety) เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนภาษาที่สอง ดังนั้นผู้สอนต้องจัดบรรยากาศที่เป็นมิตรเพื่อให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีและมีความเชื่อมั่นที่จะใช้ภาษา
2.แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร(Communicative Approach) เป็นแนวการสอนที่มุ่งเน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฝึกการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง ที่มีโอกาสพบในชีวิตประจำวันและยังให้ความสำคัญกับโครงสร้างไวยากรณ์ แนวการเรียนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสารให้ความสำคัญกับการใช้ภาษา (Use) มากกว่าวิธีใช้ภาษา (Usage) นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในเรื่องความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา (Fluency) และความถูกต้องของการใช้ภาษา (Accuracy)
การจัดการเรียนการสอนจึงเน้นหลักสำคัญดังต่อไปนี้
1. ต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้ว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร ผู้สอนต้องบอกให้ผู้เรียนทราบถึงความมุ่งหมายของการเรียนและการฝึกใช้ภาษา เพื่อให้การเรียนภาษาเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน
2. การสอนภาษาโดยแยกเป็นส่วนๆ ไม่ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้ดีเท่ากับการสอนในลักษณะบูรณาการในชีวิตประจำวัน การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารจะต้องใช้ทักษะ หลาย ๆ ทักษะรวม ๆ กันไป ผู้เรียนควรจะได้ฝึกฝนและใช้ภาษาในลักษณะรวม
3. ต้องให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการใช้ภาษา ที่มีลักษณะเหมือนในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด
4. ต้องให้ผู้เรียนฝึกการใช้ภาษามากๆ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ให้มากที่สุดที่จะเป็นไปได้
1. ต้องให้ผู้เรียนเรียนรู้ว่ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร ผู้สอนต้องบอกให้ผู้เรียนทราบถึงความมุ่งหมายของการเรียนและการฝึกใช้ภาษา เพื่อให้การเรียนภาษาเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน
2. การสอนภาษาโดยแยกเป็นส่วนๆ ไม่ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้ดีเท่ากับการสอนในลักษณะบูรณาการในชีวิตประจำวัน การใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารจะต้องใช้ทักษะ หลาย ๆ ทักษะรวม ๆ กันไป ผู้เรียนควรจะได้ฝึกฝนและใช้ภาษาในลักษณะรวม
3. ต้องให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการใช้ภาษา ที่มีลักษณะเหมือนในชีวิตประจำวันให้มากที่สุด
4. ต้องให้ผู้เรียนฝึกการใช้ภาษามากๆ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ให้มากที่สุดที่จะเป็นไปได้
5. ผู้เรียนต้องไม่กลัวว่าจะใช้ภาษาผิด
3.แนวการสอนภาษาโดยใช้เนื้อหาเป็นฐาน (Content-Based
Approach) เป็นแนวการสอนที่เน้น
เนื้อหาสาระการเรียนรู้มาบูรณาการกับจุดหมายของการสอนภาษา กล่าวคือ
ให้ผู้เรียนใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และในขณะเดียวกันก็พัฒนาการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารไปด้วย ดังนั้น
การคัดเลือกเนื้อหาที่นำมาให้ผู้เรียนได้เรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเนื้อหาที่คัดเลือกมาจะต้องเอื้อต่อการบูรณาการ
การสอนภาษาทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน
นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ สามารถติดตาม ประเมินข้อมูลของเรื่อง
และพัฒนาการเขียนเชิงวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆได้
ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ภาษาในลักษณะองค์รวม (Whole Language Learning)
4. แนวการสอนที่ยึดภาระงานเป็นฐาน (Task-Based Approach) เป็นการการเรียนรู้ภาษาเกิดจากกระบวนการที่นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติงานจนลุล่วงตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้เรียนรู้ภาษาที่เกิด
จากการปฏิสัมพันธ์ในขณะที่ทำภาระงานให้สำเร็จ ความรู้ด้านคำศัพท์และโครงสร้างจะเป็นผลที่ได้จากการฝึกใช้ภาษาในขณะทำกิจกรรม นิยมนำแนวคิดนี้ไปใช้กับนักเรียนในระดับประถมศึกษา เพราะเชื่อว่า
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นภาระงานว่ามีจุดมุ่งหมาย 4 ประการ คือ
1. เพื่อให้สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารและในการปฏิบัติภาระงานที่ได้รับ
มอบหมายได้เป็นผลสำเร็จ
2.เพื่อให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์ทางภาษาที่ได้รับไปใช้ในชีวิตจริงได้
3.เพื่อพัฒนาทักษะการคิดโดยผ่านกระบวนการปฏิบัติภาระงาน
4.เพื่อให้สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
(กรมวิชาการ, 2545)
1. อุปสรรคในการเรียนการสอน
เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เป็นเหตุให้ผู้สอนสถาบันอาชีวะ
และเทคนิคศึกษาต้องประสบปัญหาอย่างมาก
ในการที่จะทำให้ผลการเรียนการสอนบรรลุเป้าหมาย
อยู่เสมอ
การที่จะให้ผู้สำเร็จการศึกษาในแต่ละวิชาได้ออกไปปฏิบัติงานเป็นช่างเทคนิคที่มีทักษะจริง
ๆ นั้น
ย่อมไม่สามารถเป็นไปได้ด้วยการเล่าเรียนในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
แต่ผู้สอนจะต้องเล็งเห็นถึงความสำคัญ
ของการที่จะต้องมีเวลาเพียงพอ
สำหรับทำความคุ้นเคยกับวัสดุเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจน
การเรียนรู้ถึงขั้นตอนหรือวิธีการดำเนินงานต่าง ๆ ในสาขาวิชานั้น ๆ
หากลำดับขั้นตอนที่เกิดขึ้นใน
กระบวนการทางเทคนิคยิ่งซับซ้อนมากเท่าใด การถ่ายทอดความรู้ในชั้นเรียนก็ยิ่งเผชิญกับอุปสรรค
มากขึ้นเท่านั้น
ปัจจุบันนี้ นอกเหนือจากความรู้ทางวิชาการแล้ว
ผู้สอนวิชาทางเทคนิคยังจะต้องรู้จักนำเอาวิธีการ
และสื่อต่าง ๆ มาใช้เพื่อให้การเรียนการสอนนั้น ๆ
มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ นิยามของ
ประสิทธิภาพในการสอนทางเทคนิค มีดังนี้ เนื้อหาที่ผู้เรียนได้จากการสอน
=
เนื้อหาที่ผู้สอนเตรียมจากหลักสูตรและถ่ายทอดให้ในชั้นเรียน
2. ความหมายของสื่อการเรียนการสอน (Instructional Media)
สื่อ (Media) หมายถึง
ตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดหรือนำความรู้ในลักษณะต่าง ๆ จากผู้ส่งไปยังผู้รับ
ให้เข้าใจ ความหมายได้ตรงกัน ในการเรียนการสอน
สื่อที่ใช้เป็นตัวกลางนำความรู้ในกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเรียกว่าสื่อการเรียนการสอน (Instruction Media)
ในทางการศึกษามีคำที่มีความหมายแนวเดียวกันกับสื่อการเรียนการสอน
เช่น สื่อการสอน
(Instructional
Media or Teaclning Media) สื่อการศึกษา (Educational media)
อุปกรณ์ช่วยสอน
(Teaching
Aids) เป็นต้น
ในปัจจุบันนักการศึกษามักจะเรียกการนำสื่อการเรียนการสอนชนิดต่าง ๆ
มารวมกันว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา
(Educational) ซึ่งหมายถึง การนำเอาวัสดุ อุปกรณ์และวิธีการมา
ใช้ร่วมกันอย่างมีระบบในการเรียนการสอน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน
3. ทำไมจึงต้องใช้สื่อการเรียนการสอน
ข้อพิจารณาในการตอบคำถามว่า
ทำไมจึงต้องใช้สื่อเพื่อช่วยในการเรียนการสอน มีอยู่หลาย
ประการดังนี้
3.1
ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ดีขึ้น
เพราะมีความจริงจังและมีความหมายชัดเจนต่อผู้เรียน
3.2
ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในปริมาณมากขึ้น
ในเวลาที่กำหนดไว้จำนวนหนึ่ง
3.3
ช่วยให้ผู้เรียนสนใจ
และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนการสอน
3.4
ช่วยให้ผู้เรียนจำ ประทับความรู้สึกได้รวดเร็วและดีขึ้น
3.5
ช่วยส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหาในกระบวนการเรียนการสอน
3.6
ช่วยให้สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่เรียนได้ลำบาก เพราะ
3.6.1
ทำสิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น
3.6.2
ทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรมขึ้น
3.6.3
ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงช้าให้ดูเร็วขึ้น
3.6.4
ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงเร็วให้ดูช้าลง
3.6.5
ทำสิ่งที่ใหญ่มากให้ย่อขนาดขึ้น
3.6.6
ทำสิ่งที่เล็กมากให้ขยายขนาดขึ้น
3.6.7
นำอดีตมาให้นักศึกษาได้
3.6.8
นำสิ่งที่อยู่ไกลหรือลี้ลับมาศึกษาได้
ในกรณีนี้เป็นการส่งเสริมการเรียนการสอน
มีคุณภาพดีขึ้น และยังสอดคล้องกับวิธีการสอนที่ครูผู้สอนพิจารณาเลือกเอามาใช้สอน
อีกด้วย
3.7 ช่วยให้ผู้เรียนเรียนสำเร็จง่ายขึ้น
และผ่านการวัดผลอันหมายถึงการบรรลุวัตถุประสงค์ของบทเรียน
4. การจำแนกประเภทของสื่อการเรียนการสอน
มีการจำแนกประเภทสื่อการเรียนการสอนตามแนวความคิดที่แตกต่างกัน
ดังตัวอย่าง
4.1 จำแนกประเภทสื่อการเรียนการสอน โดยพิจารณาจากลักษณะประสาทการรับรู้ของผู้เรียน
จากการเห็นและการฟัง ซึ่งสามารถจำแนกประเภทของสื่อได้ดังต่อไปนี้
4.1.1 สื่อที่เป็นภาพ (Visual Media)
ก. ภาพที่ไม่ต้องฉาย
(Non-Projected) ได้แก่ ภาพบนกระดาษดำ ภาพจากแผ่นภาพ
ภาพจากหนังสือและสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ
ข. ภาพที่ต้องฉาย (Projected) ได้แก่ ภาพจากเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องฉายสไลด์
เครื่องฉายภาพยนตร์หรือวิดีทัศน์
4.1.2 จำแนกประเภทสื่อการเรียนการสอน
โดยพิจารณาจากลักษณะประสาทการรับรู้ของผู้เรียน
จากการเห็นและการฟัง ซึ่งสามารถจำแนกประเภทของสื่อได้ดังต่อไปนี้
4.1.1 สื่อที่เป็นภาพ(Audio Media) ได้แก่ สื่อประเภทเสียงที่ใช้ในกระบวนการเรียนรู้ เช่น
เทปบันทึกเสียง วิทยุ เป็นต้น
4.1.3 สื่อที่เป็นทั้งภาพและเสียง
(Audio-Visual Media) ได้แก่
สื่อที่แสดงภาพและเสียง
พร้อม ๆ กัน เช่น สไลด์ประกอบเสียง ภาพยนตร์ที่มีเสียง (Sound-film) เทปโทรทัศน์
บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (CAI) และมัลติมิเดีย เป็นต้น
4.2 จำแนกประเภทของสื่อการเรียนการสอน
ในทางเทคโนโลยีการศึกษา อาจจำแนกได้เป็น
4.2.1 เครื่องมืออุปกรณ์ (Hardware) สื่อการเรียนการสอนประเภทเครื่องมือหรืออุปกรณ์
เรียกกันโดยทั่วไปว่า ฮาร์ดแวร์
(Hardware) หรือสื่อใหญ่ (Big Media) หมายถึง
สิ่งที่เป็น
อุปกรณ์ทางเทคนิคทั้งหลายที่ประกอบด้วยกลไกไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งไม่ใช่สิ่ง
สิ้นเปลือง ได้แก่ เครื่องฉายทั้งหลาย เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายสไลด์
เครื่องฉายภาพทึบแสง เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ เครื่องรับโทรทัศน์
รวมทั้งเครื่องมือ
หรืออุปกรณ์ทางเทคนิคอื่น ๆ ที่เป็นทางผ่านของความรู้ เช่น
เครื่องฉายจุลซีวัน
เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
4.2.2 วัสดุ (Software) สื่อการเรียนการสอนประเภทวัสดุ บางครั้งเรียกว่า ซอฟต์แวร์ (Software)
หรือสื่อเล็ก (Small Media) ซึ่งเป็นวัสดุที่เก็บความรู้ในลักษณะของภาพ เสียง และตัวอักษร
ในรูปแบบต่าง ๆ จำแนกได้ 2 ประเภท
คือ
ก. วัสดุที่ต้องอาศัยเครื่องมือหรืออุปกรณ์
(Hardware) เพื่อเสนอเรื่องราว ข้อมูล
หรือความรู้ออกมาสื่อความหมายแก่ผู้เรียน ได้แก่ ฟิล์ม แผ่นใส
เทปบันทึกเสียง เป็นต้น
ข. วัสดุที่เสนอความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใด ๆ เช่น ตำรา
หนังสือ เอกสาร คู่มือ รูปภาพ แผ่นภาพ ของจริง ของตัวอย่าง
หุ่นจำลอง เป็นต้น
4.2.3 เทคนิคและวิธีการ (Technique and
Method) การสื่อความหมายในการเรียนการสอน
บางครั้งไม่อาจทำได้ด้วยเครื่องมืออุปกรณ์หรือวัสดุ
แต่จะต้องอาศัยเทคนิคหรือวิธีการ
เพื่อการให้เกิดการเรียนรู้
หรือใช้ทั้งวัสดุอุปกรณ์และวิธีการไปพร้อม ๆ กัน แต่เน้นที่วิธีการ
เป็นสำคัญ เช่น การสาธิตประกอบการใช้เครื่องมือเครื่องจักร
การทดลอง การแสดงบทบาท
การศึกษานอกสถานที่ การจัดนิทรรศการ เป็นต้น
ดังนั้นเทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ ดังกล่าว
จึงจัดว่าเป็นสื่อการเรียนการสอนอีกประเภทหนึ่ง
แต่สื่อประเภทนี้มักจะใช้ร่วมกับสื่อ
2
ประเภทแรก จึงจะได้ผลดี
เมื่อกล่าวถึงการสื่อการเรียนการสอนในกระบวนการเรียนการสอนโดยทั่วไป
ส่วนใหญ่จะคำนึงถึงวัสดุ
อุปกรณ์ ที่ใช้ประกอบการเรียนรู้ ซึ่งได้แก่ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
มากกว่าเทคนิคหรือวิธีการ ดังนั้นจึง
นิยมเรียกสื่อการเรียนการสอนว่าอุปกรณ์ช่วยสอนหรืออุปกรณ์การสอน (Teaching Aids) ซึ่งหมายถึง
วัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการเรียนรู้หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อความหมาย
อันจะส่งผลให้ผู้เรียน
เกิดความเข้าใจในบทเรียนได้ง่ายขึ้น
5. การเลือกสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะกับวัตถุประสงค์
ในการพิจารณาเลือกใช้หรือสร้างสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในขั้นต้นจะต้อง
พิจารณาเป้าหมายของวัตถุประสงค์ของบทเรียนเป็นหลัก
โดยการวิเคราะห์เนื้อหาของวัตถุประสงค์นั้น ๆ ว่า
มีจุดสำคัญอะไรควรสื่อความหมายลักษณะใด
จากนั้นจึงเลือกลักษณะของสื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาหลัก
ของวัตถุประสงค์นั้น
โดยพิจารณาเลือกเรียงลำดับจากสิ่งที่เป็นนามธรรม (Abstract) ไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรม
การพิจารณาเลือกสื่อการเรียนการสอน
วัตถุประสงค์ข้อ ก.
พบว่า
สื่อที่จำเป็นในการใช้สอนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ก็คือ ใช้เพียงคำพูด
บรรยายก็เพียงพอแล้ว
วัตถุประสงค์ข้อ ข.
ถ้าใช้คำพูดหรือบรรยายเพียงอย่างเดียวคงไม่พอที่จะให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมาย
ได้ง่ายนัก ดังนั้นจึงต้องมีสื่อการเรียนการสอนอื่น ๆ ช่วย เช่น
รูปภาพนิ่ง หุ่นจำลอง หรือของจริง
ซึ่งสื่อทั้ง 3 ลักษณะนี้น่าจะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้ดีกว่า
แต่การที่จะกำหนดว่า
เป็นสื่อประเภทใดนั้นจะต้องพิจารณาต่อไปถึงปัจจัยอื่นประกอบ
ดังนั้นในวัตถุประสงค์ข้อนี้สื่อการเรียนการสอนที่เลือกใช้จึงอาจเป็นแผ่นใสหรือแผ่นภาพที่เป็น
รูปหลอดไฟฟ้าขนาดใหญ่หรือใช้หลอดไฟฟ้าจริงก็ได้เนื่องจากหาได้ง่าย
แต่จะต้องมีจำนวนเพียงพอกับ
ความต้องการของผู้เรียน
เนื่องจากของจริงมีขนาดเล็กเกินไป
วัตถุประสงค์ข้อ ค. เนื่องจากมัลติมิเตอร์ของจริงมีขนาดเล็ก
ผู้เรียนทั้งชั้นไม่สามารถมองเห็นสเกล
หรืออ่านค่าได้พร้อม ๆ กัน
ควรเพิ่มขนาดมัลติมิเตอร์ให้ใหญ่ขึ้น โดยทำเป็นแผ่นภาพ แผ่นใส
หรือจำลองแบบจากของจริงจะเป็นสื่อที่ชัดเจนกว่า
และผู้สอนสามารถควบคุมชั้นเรียนได้
ในเวลาเดียวกัน
ส่วนการใช้มัลติมิเตอร์จริงจะควบคุมการสอนได้ยากในช่วงของการให้เนื้อหา
แต่ถ้าเป็นการประลองหรือเป็นแบบฝึกหัด
จะเหมาะสมกว่าแผ่นภาพหรือแผ่นใส
เมื่อพิจารณาได้ลักษณะของสื่อ
จาการวิเคราะห์เนื้อหาหลักของวัตถุประสงค์บทเรียนแล้ว ในขั้นต่อไป
เป็นการวิเคราะห์ต่อเพื่อหาประเภทของสื่อหรืออุปกรณ์ช่วยสอนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์นั้นโดยพิจารณา
จากคุณสมบัติเฉพาะตัว
และความเหมาะสมในการใช้ประกอบการสอนของสื่อการเรียนการสอนแต่ละประเภท
6. เทคนิคการใช้สื่อสารการเรียนการสอน
การใช้สื่อการเรียนการสอน
ย่อมจะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
ลักษณะและคุณสมบัติของสื่อแต่ละประเภท กลุ่มผู้เรียน ผู้สอน
สถานที่ ความพร้อมของอุปกรณ์และเครื่องมือ
ประกอบตลอดจนสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เป็นต้น
แต่หลักการสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงอยู่เสมอก็คือ
“เงื่อนไข
การเรียนรู้” คินเตอร์
ได้ให้ข้อเสนอแนะในการใช้สื่อการเรียนการสอนไว้
ดังต่อไปนี้
6.1
ไม่มีวิธีการสอนหรือวัสดุประกอบการสอนชนิดใด
ที่จะสามารถใช้กับผู้เรียนและบทเรียนทั่วไปได้
วิธีสอนและวัสดุประกอบการสอนแต่ละประเภทย่อมมีจุดมุ่งหมายเฉพาะของมันเอง
6.2
ในบทเรียนหนึ่ง ๆ ไม่ควรใช้สื่อการเรียนการสอนมากเกินไป
ควรใช้เพียงแต่เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ในบางครั้งก็ไม่ควรใช้สื่ออย่างเดียวตลอด
6.3 สื่อการเรียนการสอนที่ใช้ควรจะต้องสอดคล้องกับบทเรียนและกระบวนการเรียนการสอน
6.4
สื่อการเรียนการสอนควรสร้างให้เกิดโอกาสที่ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเตรียมและการใช้
อันก่อให้เกิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ไม่ลืมง่าย
6.5
ก่อนใช้สื่อการเรียนการสอน ผู้สอนควรทดลองใช้ก่อนเพื่อความแน่ใจว่าจะใช้ได้ถูกต้อง
และ
มีประสิทธิภาพนอกจากนั้นยังต้องจัดเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือประกอบให้พร้อมทุกอย่าง
7. ประเภทของสื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอนที่ใช้ประกอบในการเรียนการสอนเท่าที่พบเห็นและจากประสบการณ์
พอสรุป
เป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้คือ
7.1
กระดานดำ (Chalk Boards)
7.2
หนังสือ ตำราเรียน/ใบเนื้อหาและใบงาน
(Book or text/Information and Worksheets)
7.3
แผ่นภาพ (Wall Charts)
7.4
แผ่นใส (Overhead Transparencies)/สไลด์อิเล็กทรอนิกส์
7.5
โมเดลพลาสติก (Overhead Plastic Models)
7.6
ภาพสไลด์และแผ่นภาพยนต์ (Slide Series and Filmstrips)
7.7
แถบบันทึกเสียง (Audiotape Recordings)
7.8
แถบวิดีทัศน์/แผ่นวิดีทัศน์ (Videotape
Recordings and Videodiscs)
7.9
หุ่นจำลอง (Models)
7.10
อุปกรณ์ทดลอง/สาธิต
(Experimental/Demonstration Sets)
7.11
ของจริง (Real Objects)
7.12 บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI)
หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์อื่นๆ เป็นต้น
8. ลักษณะและแนวทางการใช้สื่อประเภทต่าง
ๆ
8.1 กระดานดำ (Chalk Boards)
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
ข้อความที่แสดงสั้นๆ
ภาพที่แสดงเป็นภาพง่ายๆ ใช้เวลาเขียนสั้นๆ
ไม่มีไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อื่น ๆ
ต้องการเปลี่ยนแปลง แก้ไขภาพหรือข้อความบ่อยๆ
ใช้กับผู้เรียนจำนวนไม่มากนัก
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
เหมาะสำหรับการเรียนการสอนแบบบรรยาย หรือถาม-ตอบ
สามารถให้ผู้เรียนร่วมกิจกรรมบนกระดานดำได้ง่าย
และพร้อมกันหลายคนได้
เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมรายละเอียดต่าง ๆ ได้ง่าย
ค. ลักษณะทางเทคนิค
ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ประกอบ
ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า
เก็บรักษาไว้ไม่ได้
อายุการใช้งานสั้น
มีเนื้อที่ในการใช้งานกว้าง
8.2. ใบเนื้อหาและใบงาน (Information Sheet
and Work Sheets)
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
ไม่มีตำราหรือหนังสือที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการโดยตรง
เนื้อหาที่ต้องการกระจัดกระจายอยู่ในตำราหลายเล่ม
ตำรามีราคาแพงเกินไป และมีเนื้อหาเกินความต้องการ
รายละเอียดเนื้อหามีมาก
หรือมีภาพและวงจรที่ซับซ้อนเสียเวลานานในการลอกจาก
กระดานดำ
ในการสอนผู้เรียนจำนวนมาก ๆ แบบบรรยายควรมีใบเนื้อหา ใบงานประกอบ
เพื่อให้ทุกคน เรียนได้ทั่วถึง
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
เหมาะสำหรับการเรียนการสอนแบบบรรยาย ถาม-ตอบ แบบเป็นกลุ่มย่อย หรือเรียน
ด้วยตนเอง
ผู้เรียนทุกคนสามารถมีกิจกรรมพร้อมกันในเวลาเดียวกัน เช่น
อ่านและทำใบงาน
สามารถให้ผู้เรียนศึกษาและทบทวนบทเรียนได้ด้วยตนเอง
ขณะที่ผู้สอนกำลังบรรยายหรือป้อนข้อคำถามระหว่าง
บทเรียนไม่ควรแจกใบเนื้อหา
ให้ผู้เรียนอ่าน
ค.
ลักษณะทางเทคนิค
ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ในการสร้าง
เช่น กระดาษไข กระดาษ เครื่องโรเนียว เครื่องถ่ายเอกสาร
หรือเครื่องพิมพ์คอมพิวเตอร์
เป็นต้น
ต้องใช้พนักงานพิมพ์ดีดช่วย
หรือผู้สอนต้องพิมพ์เองในการสร้างต้นฉบับ
สามารถทำสำเนาได้จำนวนมากไม่จำกัด
จัดเก็บรักษาง่าย
และสะดวกต่อการนำไปใช้ครั้งต่อไป
8.3แผ่นภาพ (Wall Charts)
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
ภาพที่แสดงยุ่งยากซับซ้อนต้องใช้เวลาเขียนมาก
ไม่มีไฟฟ้าหรืออุปกรณ์เครื่องฉายภาพอื่นๆ ในห้องเรียน
ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนทั้งชั้นมาที่ภาพได้
ต้องการแสดงให้เห็นทีละขั้นตอนโดยใช้ภาพแยกส่วน
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
เหมาะกับการสอนแบบบรรยาย หรือ ถาม-ตอบ
สามารถให้ผู้เรียนร่วมกิจกรรมได้
โดยใช้ดินสอสีหรือชอล์คสีเพิ่มเติมรายละเอียดได้
ให้ผู้เรียนอธิบายส่วนประกอบต่างๆ ของภาพหน้าชั้นเรียนได้
ภาพทุกภาพควรมีรายการคำถามที่ดีประกอบ
เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ
คิดหาคำตอบ
ค. ลักษณะทางเทคนิค
ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมือที่ยุ่งยากในการสร้าง
ยกเว้นในกรณีต้องการลอกรูปภาพ
ที่ซับซ้อน จากตำราต้องใช้เครื่องขยายภาพ
ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ในขณะใช้สอน
การเก็บรักษาค่อนข้างยุ่งยากเพราะมีขนาดใหญ่
8.4แผ่นใส (Overhead Transparencies )
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
ภาพที่แสดงยุ่งยากซับซ้อน เสียเวลาในการเขียนมาก
ต้องการแสดงรูปภาพที่เป็นขั้นตอน โดยใช้ภาพซ้อน (Over Lay)
ต้องการขยายภาพให้มีขนาดใหญ่หรือเล็กได้ตามต้องการ
ต้องการใช้ภาพซ้อนที่สามารถเลื่อนหรือเคลื่อนที่ได้
สามารถควบคุมชั้นเรียนได้ดีในขณะสอน
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
เหมาะกับการสอนแบบบรรยาย หรือถาม-ตอบ
ผู้เรียนสามารถร่วมกิจกรรมโดยเขียนลงบนแผ่นใสได้
ผู้เรียนสามารถอธิบายรายละเอียดต่างๆ ของภาพหน้าชั้นเรียนได้
การเตรียมภาพแผ่นเดี่ยวหรือภาพซ้อน ควรมีรายการคำถามประกอบภาพที่เหมาะสม
เป็นขั้นตอน
ค. ลักษณะทางเทคนิค
สามารถสร้างขึ้นเองได้ง่าย ๆ โดยใช้ปากกาเขียนแผ่นใส (ปัจจุบันสามารถลอกภาพ
ที่ซับซ้อนจากต้นฉบับโดยใช้เครื่องถ่ายเอกสาร หรือเครื่องสแกนเนอร์)
ฉายภาพในห้องสว่างได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ในห้องมืด
การเก็บรักษาง่ายและเคลื่อนย้ายสะดวก
ต้องใช้ไฟฟ้าและเครื่องฉายภาพโปร่งใส (Overhead Projector)
8.5โมเดลพลาสติก (Overhead Plastic Models)
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
แสดงหลักการทำงานของชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวได้
แสดงส่วนประกอบหลักที่ไม่ยุ่งยากนัก
สามารถควบคุมชั้นเรียนได้ดีขณะสอน
ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนมีกิจกรรมร่วม
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
เหมาะกับการสอนแบบบรรยาย และถาม-ตอบ
สามารถให้ผู้เรียนร่วมกิจกรรมได้โดยการอธิบายประกอบการเคลื่อนไหวชิ้นส่วนต่าง
ๆ
ขั้นตอนการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนต่างๆ ผู้สอนสามารถเตรียมคำถามไว้ถามเป็นขั้นตอนได้
ค. ลักษณะทางเทคนิค
สามารถสร้างได้ง่าย ราคาไม่แพง
สามารถฉายในห้องที่สว่างได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องมืด
ชิ้นส่วนต่าง ๆ มีขนาดพอเหมาะ และน้ำหนักเบา
การเก็บรักษาและทำความสะอาดง่าย
สามารถเคลื่อนย้ายสะดวก
8.6ภาพสไลด์ และแผ่นภาพยนต์ (Slide Series
and Filmstrips)
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
แสดงภาพที่ยุ่งยากซับซ้อนมากหรือภาพถ่ายของจริง
ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนมารวมที่ภาพได้
สามารถย่อภาพให้เล็กหรือขยายใหญ่ตามขนาดของกลุ่มผู้เรียนได้
ต้องการแสดงภาพประกอบเสียงในกรณีที่ต้องการให้ผู้เรียนเรียนด้วยตนเอง
โดยใช้
ภาพสไลด์ ชุดประกอบเทป ( Slide-tape Program)
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
ภาพสไลด์เดี่ยวสามารถสอนได้โดยวิธีการบรรยาย หรือถาม-ตอบ ส่วนสไลด์ชุดประกอบ
เทป สามารถเรียนได้ด้วยตนเอง
ผู้เรียนร่วมกิจกรรมได้โดยการตอบคำถามจากผู้สอนเมื่อสอนด้วยภาพสไลด์เดี่ยว
ผู้เรียนสมารถอธิบายรายละเอียดจากภาพหน้าชั้นเรียนได้
การใช้ภาพสไลด์เดี่ยวผู้สอนควรเตรียมรายการคำถามประกอบภาพ
ไว้เป็นขั้นตอน
จะดีกว่า การสอนแบบบรรยายจากภาพโดยตรง
ค. ลักษณะทางเทคนิค
สามารถทำขึ้นใช้เองได้ง่าย โดยใช้กล้องถ่ายรูปธรรมดา
กระบวนการล้างฟิล์ม ทำได้ง่ายสะดวกโดยร้านถ่ายรูปถั่วไป
การเก็บรักษาภาพง่าย และสะดวกเพราะมีขนาดเล็ก
เครื่องฉายภาพสไลด์ชนิดไฟแรงสูง สามารถฉายได้ใในมุมมืดของห้อง
โดยไม่ต้องฉาย
ในห้องมืด
สามารถใช้ร่วมกับเทปเป็นชุดสไลด์ประกอบเสียง
สามารถถ่ายสำเนาเป็นหลาย ๆ ชุดได้สะดวก
8.7แถบวิดีทัศน์ และแผ่นวิดีทัศน์ (Videotape
Recording and Videodiscs)
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
อธิบายโดยภาพเคลื่อนไหวหรือการเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง
ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
สามารถย้อนกลับไปเริ่มเนื้อหาเดิมได้ตลอดเวลา
สามารถย่อหรือขยายภาพได้ตามขนาดตามความเหมาะสมของผู้เรียน
สามารถใช้ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวร่วมกันได้
มีเสียงบรรยายที่สัมพันธ์กับภาพจริงเคลื่อนไหวหรือภาพเคลื่อนไหวด้วยเทคนิคพิเศษ
สามารถเลือกกรอบเฉพาะเจาะจงได้บนแผ่นวิดีทัศน์
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
สามารถใช้กับการเรียนการสอนได้หลากหลายวิธี
รวมถึงการเรียนด้วยตนเอง
ผู้เรียนร่วมกิจกรรมได้ระหว่างบทเรียนโดยการตอบคำถามหรือทำกิจกรรมกลุ่ม
ค. ลักษณะทางเทคนิค
สามารถจัดทำใช้ได้ด้วยตนเองโดยใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ไม่ยุ่งยาก
ต้องใช้ประกอบกับเครื่องเล่นและเครื่องฉาย
ไม่จำเป็นต้องฉายในห้องมืด
ต้องพัฒนาให้ทันกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย
สามารถใช้ร่วมกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ผลิตต้นฉบับราคาสูง
สะดวกในการสำเนาหลาย ๆ ชุดได้อย่างรวดเร็ว
ง่ายและสะดวกต่อการบำรุงรักษา จัดเก็บและเคลื่อนย้าย
8.8หุ่นจำลอง (Models)
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
สามารถมองเห็นได้ 3 มิติ
เข้าใจง่าย
สาธิตการทำงานของอุปกรณ์
ชิ้นส่วนหรือกลไกที่ยุ่งยากให้เข้าใจได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
สาธิตการทำงานที่เคลื่อนไหวรวดเร็วให้ช้าลง
ตรวจปรับความเข้าใจของผู้เรียนระหว่างภาพกับของจริง
โดยเฉพาะวิชาเขียนแบบ
เทคนิค
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
เหมาะกับการสอนแบบรรยาย และถาม-ตอบ
สังเกตการสาธิตของผู้สอนและตอบคำถาม
ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันปฏิบัติขณะสาธิต
อภิปรายปัญหาร่วมกัน
ค. ลักษณะทางเทคนิค
มีรูปทรงเป็น 3 มิติ
คล้ายของจริง
สร้างได้เองในสถานศึกษา
มีขนาดเหมาะ น้ำหนักเบา จัดเก็บและเคลื่อนย้ายสะดวก
ใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นและราคาถูก
8.9ชุดทดลอง/สาธิต
(Experimental/Demonstration Sets)หรือชุดฝึกปฏิบัติ
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
ต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ทำให้ผู้เรียนหรือผู้รับการฝึกได้เห็นปรากฎการณ์จากการทดลองปฏิบัติจริง
ต้องการแสดงกระบวนการหรือขั้นตอนต่าง ๆ ของผลลัพธ์ที่ต้องการ
กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนหรือผู้รับการฝึกได้ดี
ผู้เรียนหรือผู้รับการฝึกสามารถเรียนรู้เป็นรายบุคคล
เป็นกลุ่มหรือร่วมกับผู้สอนได้
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
สามารถใช้กับการสอนหรือการฝึกได้หลายวิธี
ผู้สอนหรือผู้ฝึกเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ ที่ต้องใช้สำหรับการทดลอง
หรือสาธิต
ผู้สอนหรือผู้ฝึกให้คำปรึกษาแนะนำระหว่างบทเรียนหรือการฝึกได้ตลอดเวลา
ผู้เรียนหรือผู้รับการฝึกมีกิจกรรมร่วมระหว่างบทเรียนหรือการฝึก
ค. ลักษณะทางเทคนิค
ต้องใช้เวลาในการเตรียมการค่อนข้างมาก
มีขนาดใหญ่ น้ำหนักค่อนข้างมาก และเคลื่อนย้ายไม่สะดวก
อุปกรณ์ประกอบมีราคาแพง
ต้องการสถานที่ในการจัดเก็บและบำรุงรักษา
8.10 ของจริง (Real Objects)
ก. เหตุผลที่เลือกใช้
ไม่สามารถใช้สื่อชนิดอื่นๆ ได้ดีเท่า
ของจริงสามารถหาได้ง่าย หรือยืมมาได้จากโรงฝึกงาน
ของจริงสามารถแสดงรายละเอียดและวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้
ของจริงมีน้ำหนักและขนาดพอเหมาะที่จะนำมาใช้ประกอบการสอนในชั้นเรียนได้
ข. กิจกรรมในการเรียนการสอน
เหมาะกับการสอนแบบบรรยาย สาธิต หรือถาม-ตอบ
ผู้เรียนสามารถร่วมกิจกรรมโดยอธิบายหรือสาธิตจากของจริงนั้นได้โดยตรง
จับต้อง สังเกต ศึกษาได้ด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่มย่อย
โดยใช้ใบงานประกอบ
ค. ลักษณะทางเทคนิค
ส่วนใหญ่ได้มาจากโรงฝึกงาน
หรือห้องประลองเพื่อนำมาประกอบการสอนทางด้าน
ทฤษฎี ภายในห้องเรียน
ขนาด น้ำหนัก คือ ข้อจำกัดในการนำมาใช้
ต้องการการจำแนกความแตกต่างของชิ้นส่วน โดยใช้สีหรือสัญลักษณ์
ต้องการสื่อประเภทอื่นช่วย
ในกรณีที่ไม่สามารถเห็นการทำงานที่ยุ่งยาก ซับซ้อน
หรือมีขนาดเล็กเกินไป
ความหมายของสื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอนเป็นตัวกลางซึ่งมีความสำคัญในกระบวนการเรียนการสอนมีหน้าที่เป็นตัวนำความต้องการของครูไปสู่ตัวนักเรียนอย่างถูกต้องและรวดเร็ว
เป็นผลให้นักเรียนเปลี่ยน,แปลงพฤติกรรมไปตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
สื่อการสอนได้นำไปใช้ในการเรียนการสอนตลอด
และยังได้รับการพัฒนาไปตาการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ซึ่งก้าวหน้าไปไม่หยุดยั้ง นักการศึกษาเรียกชื่อการสอนด้วยชื่อต่าง ๆ เช่น
อุปกรณ์การสอน โสตทัศนูปกรณ์ เทคโนโลยีการศึกษา สื่อการเรียนการสอน
สื่อการศึกษาเป็นต้น
ประเภทของสื่อการเรียนการสอน
1.สื่อประเภทวัสดุ
ได้แก่ สื่อเล็ก ซึ่งทำหน้าที่เก็บความรู้ในลักษณะของภาพเสียง และ
อักษรในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้เรียนสามารถใช้เป็นแหล่งหาประสบการณ์
หรือศึกษาได้อย่างแท้จริงและกว้างขวาง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1.1วัสดุที่เสนอความรู้ได้จากตัวมันเอง
ได้แก่หนังสือเรียนหรือตำราของจริงหุ่นจำลอง รูปภาพ แผนภูมิ แผนที่ ป้ายนิเทศ
เป็นต้น
1.2วัสดุที่ต้องอาศัยสื่อประเภทเครื่องกลไก
เป็นตัวนำเสนอความรู้ได้แก่ฟิล์มภาพยนตร์ แผ่นสไลด์ ฟิล์มสตริป เส้นเทปบันทึกเทป
รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ รายการที่ใช้เครื่องช่วยสอน เป็นต้น
2. สื่อประเภทเครื่องมือ
หรือโสตทัศนูปกรณ์ ได้แก่ สื่อใหญ่ ที่เป็ฯตัวกลางหรือทางผ่านของความรู้
ที่ถ่ายทอดไปยังครูและนักเรียน
สื่อประเภทนี้ตัวมันเองแทบไม่มีประโยชน์ต่อการสื่อความหมายเลยถ้าไม่มีใครรู้ในรูปแบบต่าง
ๆ มาป้อนผ่านเครื่องกลไกลเหล่านี้ สื่อประเภทนี้จึงจำเป็นต้องอาศัยสื่อประเภทวัสดุ
บางชนิดเป็นแหล่งความรู้ให้มันส่งผ่าน
ซึ่งจะทำให้ความรู้ที่ส่งผ่านมีการเคลื่อนไหวไปสู่นักเรียนจำนวนมาก ได้ไกลๆ
และรวดเร็ว และบางทีก็ทำหน้าที่เหมือนครูเสียเอง เช่น
เครื่องช่วยสอน
ได้แก่เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องบันทึกเสียง
เครื่องรับวิทยุ
เครื่องฉายภาพนิ่งทั้งหลาย
3.สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ
ตัวกลางในกระบวนการเรียนการสอนไม่จำเป็นต้องใช้แต่วัสดุหรือเครื่องมือเท่านั้น
บางครั้งจะต้องใช้เทคนิคและกลวิธีต่าง ๆ ควบคู่กันไป
โดยเน้นที่เทคนิคและวิธีการเป็นสำคัญ
ระบบสื่อการศึกษา
นับตั้งแต่มนุษย์ได้รู้จักนำเอาสื่อ (media) มาใช้ในการสื่อความหมายก็ได้มีการพัฒนาเรื่อยมา
จากสื่อที่ใช้สัญลักษณ์ รูป มาจนถึงสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
โดยธรรมชาติแล้วสื่อแต่ละประเภทจะมีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง
เพียงแต่ว่าผู้ผลิตและผู้ใช้จะสามารถดึงเอาคุณค่านั้นมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
สื่อใดก็ตามถ้าได้มีการวางแผนดำเนินการผลิตการใช้ อย่างมีระบบ
ย่อมเกิดประโยชน์ทางการศึกษา ตามจุดมุงหมายที่วางไว้ วิธีการระบบสามารถนำมาใช้กับกระบวนการสื่อได้ทุกกระบวนการเช่น
การเลือก การผลิต การใช้เป็นต้น
วิธีการระบบ
จะเห็นได้ว่า
ในกระบวนการใช้วิธีการระบบในการเลือกสื่อ
จะมีขั้นตอนที่ผูกพันกับการผลิตสื่ออยู่ด้วย
การเลือกและจัดหาสื่อการเรียนการสอน
ในการเลือกสื่อการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอนนั้น
ผู้สอนจำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบในการเลือกสื่อได้แก่ จุดมุงหมายของการสอน
รูปแบบและระบบของการเรียนการสอนลักษณะของผู้เรียน เกณฑ์เฉพาะของสื่อ
วัสดุอุปกรณ์และตลอดจนสิ่งอำนวยความสดวกที่มีอยู่นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเภทของสื่อกับคุณสมบัติเฉพาะและจุดประสงค์ของการเรียนการสอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น